ต้องบอกว่านี่เป็นรุ่นต่ำกว่าหมื่น ตัวสุดท้ายของปีนี้แล้วนะคะ ซึ่งหลายๆคน ก็เริ่มได้ยินชื่อ Nubia กันบ้างแล้ว วันนี้อุ้มทนกระแสไม่ไหว ต้องเอา รีวิว Nubia Z11 mini มาให้ชมกัน ถือว่าเป็นรุ่นราคาระดับกลาง ที่ความสามารถล้นเหลือสุดๆ ไปเริ่มกันเลยค่ะ
FIRST IMPRESSION
สิ่งแรกที่อุ้มคิดเลยคือ หน้าตามันคุ้นๆ มาก 555 ด้วยความหนาเพียง 8 mm ทำให้หนักแค่ 138 กรัม ความรู้สึกแรกเลยคือ มันบางและเบาสุดๆ เป็นสัมผัสที่ดีมากๆ นี่เป็นสิ่งแรกที่ทำเจ้า Z11 mini แตกต่างกับรุ่นอื่นๆ ที่ราคาประมาณเดียวกัน
มากับจอ Full HD ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดประมาณ 441 ppi ที่มีความคมชัดสูง ให้สีสันที่สดใส รอบๆ ตัวเครื่อง ยังให้ฟังก์ชั่นต่างๆ มาอย่างครบครัน ทั้งที่แสกนลายนิ้วมือ และรูเสียบชาร์จแบบ USB C ทำให้รองรับการชาร์จแบบชาร์จด่วนด้วย
ด้านหลังจะพบกับกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล F/2.0 และกล้องหน้าความละเอียด 8 MP F/2.4 แต่เสน่ห์ที่ทำให้ Z11 mini แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ตั้งแต่แรกเห็น คงจะเป็นจุดแดงๆ ที่อยู่ที่ปุ่ม Home เสมือนด้านหน้า รวมทั้งด้านหลังอีกด้วย
NUBIA UI
เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา จะพบกับ NUBIA UI ซึ่งจะเป็น UI ที่ครอบ Android 5.0.1 ไว้อีกทีนึงนะคะ โดยส่วนตัวคิดว่าใช้งานได้ง่าย ติดตรงที่เมนูภาษไทยอาจจะยังไม่ค่อยแข็งแรง 555 มีงงๆบ้าง โดยเราสามารถเปลี่ยน Wallpaper และจัดวางรูปแบบของไอคอนได้ตามความต้องการของเรานะคะ แต่สิ่งที่อุ้มชอบมากๆ มี 2 อย่างดังนี้
SUPER SCREENSHOT
ใครที่ชอบ Capture หน้าจอ ต้องชอบฟังก์ชั่นนี้แน่นอน เพราะเราสามารถทำได้หลากหายรูปแบบ ทั้ง
- Long screenshot : แคปกันยาวไปๆเลย ไม่ว่าจะเปิดเว็บยาวแค่ไหน ก็แคปได้ในภาพเดียว โดยหากเลือกโหมดนี้ ตัวเครื่องจะทำการแคปอัตโนมัติ ไม่ต้องกดเลยค่ะ
- Free snapshot : จะสามารถจับภาพหน้าจอได้แบบฟรีสไตล์ ทั้งสี่เหลี่ยม วงกลม หรือจะลากเอง ก็ทำได้เช่นกัน
- Screen recording : อัดวิดีโอ ถ่ายหน้าจอได้เลยทันที โดยไม่จำเป็นต้องลงแอพเพิ่มเติม รวมทั้งบันทึกเสียงเข้าไป ในขณะอัดด้วยค่ะ
EDGE GESTURE
ใครว่าการควบคุมขอบข้าง จำเป็นต้องทำกับรุ่นที่มีขอบโค้งเสมอไป Nubia ใส่ฟังก์ชั่น Edge Gesture มากับรุ่นที่เล็กที่สุดในตระกูล Z11 ด้วยนะคะ โดยทำได้หลายอย่างเลยเช่น
- หากเรารูดนิ้วที่ขอบด้านซ้ายขึ้นลง จะเป็นการสลับแอพพลิเคชั่น ที่เปิดอยู่ใน Background
- หากเรารูดนิ้วที่ขอบด้านขวา ขึ้น หรือ ลง จะเป็นทางลัด เพื่อเข้าสู่แอพที่เราตั้งค่าไว้
- หากเรารูดนิ้วที่ขอบด้านขวาขึ้นลงหลายๆรอบ จะเป็นการปิดแอพที่รันอยู่ใน Background ทั้งหมด บอกเลยว่าเท่มาก
- หากเรารูดนิ้วทั้งขอบซ้ายขวาพร้อมกัน จะเป็นการปรับความสว่างของหน้าจอ หรือเร่งเสียง ลดเสียง แล้วแต่เราตั้งค่า
CAMERA
กลายเป็นจุดเด่นนึงที่ทาง Nubia ใส่มาให้แบบจัดเต็ม ไม่ใช่แค่มีโหมดโปร แต่ยังมี Camera Family มาให้อีกด้วย แถมยังใส่เซ็นเซอร์ Sony IMX298 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง F/2.0 เป็น Optical Lens 6 ชิ้น
เมื่อเปิดเข้าแอพกล้อง เราจะเจอกับ NeoVision 5.8 ที่ปรับให้ใช้งานได้ง่าย เลื่อนซ้านเลื่อนขวา เพื่อถ่ายภาพธรรมดา เข้าสู่โหมดโปร หรือเข้าสู่ Camera Family ได้ด้วยมือเดียว ในนี้จะมีของเล่นเยอะแยะให้เราเลือกสรรค์ เช่น Multi Exposure / Light Painting / Star Track หรือ Clone
ตัวอย่างที่อุ้มลองเล่นแล้วชอบมาก คือโหมด Clone ที่เราถ่ายรูป เหมือนมีตัวเราหลายๆคนในภาพเดียวได้ และ Light Painting ที่เพียงเราเปิดแฟลชในมือถืออีกเครื่อง แล้วลากไปลากมา พอใช้ Z11 mini ถ่าย ก็จะได้ภาพที่แปลกใหม่ออกมา สวยดีค่ะ ไปลองชมตัวอย่างภาพถ่ายกันเลยจ้า
ส่วนกล้องหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล อันนี้ชอบๆ นอกจากจะแอบ wide นิดๆแล้ว ยังมีโหมด ยิ้มแล้วถ่าย แค่เรายิ้มปุ๊ป กล้องก็จะถ่ายให้ปั๊ป ไม่ต้องกดเลยสักปุ่มค่ะ หรือเราจะแตะที่แสกนลายนิ้วมือ แทนการกดชัตเตอร์ก็ได้เหมือนกัน Beauty โหมดโอเคเลยค่ะ สวยแบบไม่หลอกมาก
PERFORMANCE
ตัวนี้จะเป็นเล็กสุดในตระกูลนะคะ แต่ยังมากับ CPU Snapdragon 617 พร้อมแรม 3GB พร้อมความจุในตัวเครื่อง 32GB ใส่ได้ 2 ซิม หรือจะเลือกอีกซิมเป็นการใส่ Micro SD Card แทนก็ยังได้ เท่าที่ทดสอบเล่นเกมดู ถือว่าไม่เลวเลยนะคะ เล่นได้ลื่นๆ หรือจะเอาไปเล่นเว็บ เล่นโซเชียลยิ่งสบาย ผสมกับความเบาของตัวเครื่อง ทำให้เราถือใช้งานมือถือเดียวได้ง่ายๆ
โดน Z11 mini จะให้แบตเตอรี่มา 2,800 mAh และรองรับการชาร์จด่วนอีกด้วยนะคะ โดยแบตถือว่าอึดพอตัว แต่ถ้าใครชอบอึดๆ น่าจะเล่นรุ่นใหญ่กว่านี้ไปแทน
SUMMARY
อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกค่ะ ว่า Nubiz Z11 mini ทำให้อุ้มรู้สึกดีกว่าที่คาดคิดไว้มาก เริ่มตั้งแต่ความสวยงามของตัวเครื่อง รวมไปถึงความสามารถต่างๆที่ใส่มาในราคา 6,990 บาท กล้องที่อาจจะยังสู้รุ่นเรือธงต่างๆไม่ได้ แต่ในราคาประมาณเดียวกัน ก็เป็นอะไรที่โดดเด่นกว่า ในเรื่องลูกเล่นที่อัดแน่นมาให้ หรือจะเป็นการยิ้มแล้วถ่าย ที่สะดวกไม่น้อย
แต่ฟังก์ชั่นที่ชอบมากที่สุด กลายเป็นเรื่องของการแคปหน้าจอแบบยาวๆ โดยไม่ต้องกดเอง และการใช้งานขอบของตัวเครื่องอย่างคุ้มค่า มันทำให้เข้าสู่แอพต่างๆ ได้ไวกว่าวิธีอื่นๆ มากๆ
ตัวนี้ในกล่อง จะไม่ได้ให้หูฟังมาด้วยนะคะ และเมนูภาษาไทย น่าจะต้องรอการพัฒนาอีกสักพัก เพราะตอนนี้่ยังแปลแบบงงๆอยู่ 555
ตอนนี้ก็หาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ http://store.nubia.com/th/buy/Z11mini มีให้เลือก 2 สีคือ สีขาว และสีดำ (เชียร์สีดำนะ ตัดกับแดงนี่สวยเลย)
วันนี้อุ้มก็ขอฝาก รีวิว Nubia Z11 mini ไว้เพียงเท่านี้ นี่น่าจะเป็นรุ่นต่ำกว่าหมื่นตัวสุดท้ายของปีนี้ แล้วพบกันใหม่ปีหน้านะคะ สวัสดีปีใหม่ 2017 จ้าาา