โจทย์ของอุ้มในปีนี้ คือการหามือถือไปเที่ยวอังกฤษด้วย ในช่วงสิ้นปีค่ะ ตอนนี้เลยใช้ iPhone XS Max รอดูเชิง Huawei Mate 20 Pro และ Google Pixel 3 XL ตัวจริงไปพรางๆก่อน พอลองเอามาใช้งานได้ 3 วีค ก็รู้สึกชอบแบบไม่น่าเชื่อ อุ้มขอส่ง รีวิว iPhone XS Max ฉบับสมบูรณ์นี้ ไว้เป็นหนึ่งในการพิจารณาของทุกคน ก่อนเริ่มพรีเครื่องไทยกันศุกร์นี้ ไปเริ่มกันเลยค่า
‘BIG SCREEN’
ขอดูจอหน่อย
คำถามยอดฮิตเวลาพบปะกันในช่วงนี้ คือการขอดูจอ iPhone XS Max นั่นเอง และก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้า iXS Max มีความโดดเด่นมากกว่า iPhone รุ่นก่อนๆสุดๆ
จากที่อุ้มเคยเล่าไปตอนแกะกล่องว่าจอของเจ้าตัวนี้จะเป็น Super Retina OLED ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล เหมือนของ iPhone X เป๊ะ แต่หน้าจอจะขยายจาก 5.8 นิ้ว เป็น 6.5 นิ้ว เอาแค่ความรู้สึกก่อนนะ เวลาใช้จริง จอมันใหญ่ขึ้นมากโขเลย
คือตอนแรกๆก็ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น พอเริ่มมาเล่นเกม ดูเลือดข้นคนจาง หรือเล่นเว็บ เออ มันเห็นทุกอย่างกว้างขึ้นจริงๆแหะ ยิ่งคนที่ใช้รุ่นปุ่มโฮมตั้งแต่ iPhone 7 Plus หรือ iPhone 8 Plus มาเจอจอของ iXS Max จะกรี๊ดมาก เพราะขนาดตัวเท่าเดิม น้ำหนักพอๆกับเดิม แต่จอดีงามกว่ามากจริงๆค่ะ
เมื่อเทียบกับหลายๆแบรนด์แล้ว จอของ iPhone XS Max เลยได้เปรียบทั้งความใสของจอ สีสัน คอนทราส ขอบเขตที่กว้าง และความดำสนิทของหน้าจอ ทำให้หลงรักจอยักษ์นี้ได้ไม่ยาก
และถึงจอจะใหญ่ขนาดนี้ แบตกลับอึดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดของแบต 3,174 mAh อยู่ได้ 11 ชม. ในการใช้งานประจำวันของอุ้ม มีหลายคนเทสออกมาแล้วว่า แบตอึดกว่าเรือธงหลายๆรุ่น ต้องขอบคุณที่ช่วยทำให้ใช้งานได้นานๆ สักที
‘DUAL CAMERA’
ขอลองกล้องหน่อย
ไม่รู้ว่าเป็นอุปทานหมู่รึเปล่า แต่กล้องของ iXS Max ดีกว่า iX มากจริงๆ ถึงจะมีหลายช็อต ยังดีไม่เท่าเพื่อนเรือธงอื่นๆ ก็เถอะ 555 ถ้าเทียบสเปคแล้ว กล้อง iXS Max จะมีความละเอียดเท่ากับ iPhone X ที่ 12+12 MP แต่มีการขยายขนาดของ Sensor จากเดิม 1.22µm มาเป็น 1.4µm
เมื่อเอามาใช้งานจริง ภาพจากกล้องของ iXS Max เลยมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการใส่โหมด Potrait หน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถปรับระยะชัดลึกชัดตื้นได้ นอกจากภาพจะดีขึ้นแล้ว การทำหลังเบลอ ยังติดง่ายกว่ากันแบบรู้สึกได้ ไปลองชมตัวอย่างภาพจากทั้งสองกล้องกันก่อนนะคะ
และอุ้มขอเอาภาพบางส่วน ที่ถ่ายจาก iPhone XS Max ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มาลงไว้ให้พิจารณาดูกันนะคะ
ส่วนกล้องหน้า … ถึงจะแอบใส่โหมดบิวตี้มา และหน้าก็เนียนขึ้นกว่าทุกรุ่นที่ Apple เคยทำมา แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้ว สำหรับอุ้มยังแพ้ขาดค่ะ เพราะนอกจากมุมจะแคบแล้ว สียังไม่สวยเท่า แต่แก้ปัญหาได้ โดยลงแอพ ULike แล้วทุกคนก็สวยงามเหมือนใช้รุ่นอื่นๆ 555 ลองดูภาพพิจารณาดูนะคะ
Facebook 3D Photo
อยู่ดีๆ พี่มาร์คซัค โยนความดีความชอบให้ iPhone ให้ทำ Facebook 3D Photo ได้เป็นแบรนด์แรก โดยจะรองรับตั้งแต่รุ่น iPhone 7 Plus มาจนถึง iPhone XS Max เฉพาะรุ่นที่เป็นกล้องคู่ การทำภาพแบบ 3D สามารถทำได้ง่ายๆดังนี้
1.เข้าที่แอพ Facebook บน iPhone ของคุณ
2.กดที่ Create Post
3.กดที่ 3D Photo
4.Facebook จะเปิดคลังภาพ Portrait ขึ้นมา เลือกภาพที่ต้องการ
5.รอแว๊บนึง ก็กดโพสภาพได้เลย เสร็จเรียบร้อย
ภาพของเรา จะถูกแบ่งชั้น Layer ในการถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอของ iPhone ทำให้มีมิติคล้าย 3D เวลารับชมภาพ ก็เอียงมือถือไปมาเพื่อดูได้ และสำหรับคนที่ใช้ iPhone XS Max ภาพ 3D ก็จะออกมาสวยงามสมจริงมากๆ เพราะตัวโหมดหน้าชัดหลังเบลอ ทำออกมาได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆเยอะค่ะ
เออออ … แต่อุ้มลองเอาภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่ถ่ายจากกล้องหน้าของ iPhone XS Max เจ้า Facebook ก็ทำ 3D Photo ได้เช่นเดียวกัน อันนี้แอบงง ไหนบอกว่าต้องเป็นกล้องคู่ไง
แต่…
เมื่อเทียบเรื่องกล้องกับเรือธงในระดับเดียวกันหลายๆรุ่น iPhone XS Max จะทำได้ดีกว่าหรือพอๆกัน ในเวลากลางวัน แต่ถ้าเป็นภาพถ่ายในที่แสงน้อย หรือถ่ายตอนกลางคืน อาจจะต้องยอมแพ้ไปแต่โดยดี ส่วนการตัดขอบภาพหน้าชัดหลังเบลอ ก็ยังมีบางส่วนที่ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง คงต้องรอการอัพเดทในอนาคตต่อไป ตอนนี้คือ ถ้าตัดขอบสวยก็สวยเลย เละก็เละเลยเหมือนกัน 555
และการถ่ายวิดีโอ
ทำได้ดีมากกก สามารถบันทึกเสียงแบบสเตอริโอได้ ช่องไดนามิคกว้างขึ้น เรียกว่าถ่ายหวังผล หรือถ้าไม่ได้พกกล้องไป อุ้มสามารถใช้ iXS Max ถ่ายงานกลับมาตัดต่อได้เนียนๆเชียวละ ส่วนกันสั่นคือดี ดีกว่าหลายมือถือเรือธงหลายๆรุ่น แต่ยังดีไม่เท่ากันสั่นของ GoPro Hero 7 นะคะ เดี่ยวไว้ลงคลิปเทียบให้ดูอีกที
‘iOS12’
ขอลองเล่นหน่อย
คำว่าลื่นหัวแตก มันน่าจะแทนความหมายของการใช้งาน iOS12 บน iPhone XS Max ได้เป็นอย่างดี คือจริงๆแล้ว หลังจากที่อัพ iOS12 บน iX ไป มันก็กลับมาเร็วมากๆ อยู่แล้ว แต่บน iXs Max มันเร็วกว่านั้นได้อี๊กกก
ถ้าถามอารมณ์ตอนเล่น ก็คงเหมือนตอนจับ iPad Pro 12.9 นิ้ว ครั้งแรก แต่นี่มาถึงชิบเซ็ต A12 Bionic แล้ว อุ้มลองเทส Antutu ดูเล่นๆ คะแนนก็ปาไปถึง 340,589 คะแนน สูงมากๆเลยหละค่ะ
ความลื่นไหลของ iPhone XS Max ไม่ได้เกิดจากแค่ Engine ที่ใส่มาเพียงอย่างเดียว ต้องยกความดีความชอบให้กับ iOS12 ด้วยค่ะ ถ้าใช้ iPhone มาตลอด อาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่สำหรับอุ้ม ที่ใช้สลับไปสลับมา ทุกครั้งที่กลับมาเล่น iPhone มันจะมีความรู้สึกนึง ที่ทำให้เราแตกต่างจาก Android
เรื่องแรก เป็นเรื่องของ UX | UI ถึงจะไม่มีอิสรภาพในการขยับนู่นนี่นั่นนัก แต่การคงเดิมเอาไว้ ก็เลยทำให้ Apple ควบคุมอะไรๆ ได้ง่ายกว่า นี่แทบจะไม่มีแอพไหน ที่ไม่รองรับหน้าจอ iPhone XS Max เลย โดยไม่ต้องกดขยายให้เต็มหน้าจอ แต่มาแบบเต็มจออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ตามกฏของ Apple นั่นเอง
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของการควบคุม ไม่ได้บอกว่าจอใหญ่แบบนี้ กดได้ด้วยมือเดียวสะดวก แต่ Gesture ต่างๆ มันทำให้เราสามารถควบคุมผ่านนิ้วโป้งของเราได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น อุ้มจะใช้มือถือเป็น GPS นำทางในรถตลอดเวลา การคอนโทรลเข้า Multitasking หรือการเปลี่ยนแอพ ก็เลยทำได้สะดวกมากๆ เสียอย่างเดียว ฝั่ง Google สามารถเปิดแอพซ้อนแอพได้ ทำให้ดูแมพไปพร้อมกับดูวิดีโอได้
เรื่องที่สาม คือการใช้งานร่วมกับ Apple Device ต่างๆ เสน่ห์ของความ Seamless จาก Apple ยังไม่มีใครมาเทียบได้จริงๆค่ะ Apple สามารถทำให้เราติดเสพติดความสะดวกสบายนี้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ iXS Max ร่วมกับ Apple Watch Series 4 | Airpods | Macbook
การเชื่อมต่อแบบง่ายที่สุด จนไปถึงการแจ้งเตือนที่ไม่ซ้ำซ้อน แต่ร่วมด้วยช่วยกัน และความฉลาดที่ผ่านการทดสอบมาแล้วของ Apple พอเอามาใช้งานจริง ต้องใช้คำว่าติดใจ เวลาเราทำอะไรที่สะดวกสบายมากๆ ก็จะเริ่มเคยตัว และรู้สึกว่าอย่างอื่นลำบาก เป็นธรรมดา
‘FACE ID’
ขอลองปลดล็อคหน่อย (เฮ้ย ไม่ได้ดิ 555)
บอกตามตรงว่า ตอนใช้งาน Face ID บน iPhone X แอบเรียกร้องให้เอาที่สแกนลายนิ้วมือกลับมาเหอะ ถ้าจะปลดช้าขนาดนี้ ยิ่งถ้าเทียบกับเครื่องรุ่นใหม่ๆ ที่ทยอยออกมาหลังจากนั้น iPhone X นี่เรียกว่าทำได้ช้ากว่าชาวบ้านแบบเห็นได้ชัด
iPhone XS Max เลยมากับมิติใหม่ ประกอบไปด้วยเซนเซอร์ 3 ส่วนด้วยกัน คือ กล้องอินฟราเรด อิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง และตัวฉายจุดแสง เมื่อมีการสแกนหน้าเราแต่ละครั้ง เลยทำได้ไว เสถียร ไม่มีปัญหาเมื่อใส่แว่นตา หรือสแกนในที่มืดก็ยังทำได้ดี
อุ้มลองตั้งชาร์จ iPhone XS Max อยู่ไกลประมาณสุดแขน แล้วลองใช้ Face ID เพื่อปลดล็อคหน้าจอ ก็ยังปลดล็อคได้ เหลือบมอง ก็เหลือบได้สะดวก รวดเร็วดี คราวนี้ไม่หงุดหงิด หรือร้องหาที่สแกนลายนิ้วมือแล้วค่ะ
‘43900’
เลขที่ออก
ราคาไทยออกมาแล้วที่ 43,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64GB | 49,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB และ 57,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 512GB … แพงมั้ยคะ? แพงงงงงสิ คือตอนแรกอุ้มคาดการณ์ว่า รุ่น 64GB น่าจะเปิดสัก 41,900 บาท เอาเป็นว่าเป็นปีที่ภาคภูมิใจในราคา Day1 ของเครื่องหิ้วมาก
ถ้าให้เดาเล่นๆ ในมุมของการตลาด นี่เป็นการเซ็ต Position ของ Apple อีกครั้ง เมื่อคู่แข่งขยับมาเล่นที่ราคาสามหมื่นกลางแล้ว Apple ก็โดดขึ้นไปที่หลักสี่หมื่นกว่า โดยเอารุ่น iPhone XR เป็นฐานไว้ที่ราคาเริ่มต้น 29,900 บาทนั่นเอง
เหมือน Apple จะบอกเราว่า iPhone = น้องๆ Macbook เครื่องนึง ทั้งราคา และความสามารถ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราใช้งาน iPhone กัน เกือบจะเทียบเท่าใช้งานคอมเครื่องนึงได้แล้ว ที่สำคัญคือ มันอยู่ข้างเราตลอดเวลา
การพัฒนาจาก iPhone Classic มาจนถึง iPhone XS Max สร้างความเบื่อหน่ายให้เราบ้าง สร้างความตื่นเต้นให้เราบ้าง แต่ก็มีอีกหลายอย่าง ที่ Apple เป็นผู้ริเริ่ม จนกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์คนใช้งานมากที่สุดเครื่องนึงและก็มีไม่น้อย ที่ยังเป็นผู้ตามแบรนด์อื่นๆ หรือยังไม่สามารถทะลุกรอบมาได้อยู่
รีวิว iPhone XS Max ทั้งหมดที่คุณอ่านมานี้ เขียนโดย IAUMReview คนที่เริ่มต้นเข้าวงการนี้ด้วย iPhone และใช้มือถือเรือธงทุกเครื่อง ทุกสังกัดเท่าที่จะทำได้ อาจมีถูกใจ ไม่ถูกใจใครบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ศุกร์นี้ก็เปิดจองแล้ว ใครใคร่ซื้อ ซื้อ ใครใคร่บ่น บ่น ส่วนอุ้มถือว่าฟินกับการใช้งานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศึกหนักมันมาอยู่ที่ Google Pixel 3 XL และ Huawei Mate 20 Pro ที่คงต้องลองเอามาวัดกันดูสักตั้ง แล้วพบกันค่ะ
ติดตามอุ้มผ่านช่องทางต่อไปนี้
Facebook : IAUMReview
IG: iaumreview
YouTube : IAUMReview Channel