OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมสโลแกน “1 พันล้านสี บนสมาร์ทโฟน” หรือ Awaken Colour (10-bit 1 พันล้านสี) ที่สุดของเทคโนโลยีหน้าจอและกล้อง 1 พันล้านสี พร้อมการเชื่อมต่อ 5G และ Wi-Fi ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เปิดตัวในราคา 33,990 บาท
ที่สุดของประสิทธิภาพ
ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 แบบ 64-bit octa-core processor 2.84GHz รวมถึง Adreno 660 GPU ให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์จากรุ่นก่อนหน้า ประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่า 20 เปอร์เซ็นต รองรับ 5G โดย Dual Mode 5G ใน OPPO Find X3 Pro 5G รองรับเครือข่าย NSA และ SA 5G ใช้ได้ทั่วโลกเพราะรองรับคลื่นความถี่ 5G ได้มากถึง 13 คลื่น และรองรับ Dual-SIM 5G + 5G dual reception ดาวน์โหลดแอป 2 ตัวพร้อมกัน ตัวนึงใช้ Wi-Fi (รองรับสูงสุด Wi-Fi 6) อีกแอปใช้ 5G โหลดได้ ระบบ ColorOS 11.2 ใช้งานง่าย
รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ สแกนใบหน้า และตั้งค่าให้สแกนนิ้ว สแกนใบหน้าก่อนเข้าแอปได้
ที่สุดของดีไซน์
OPPO Find X3 Pro 5G บางเพียง 8.26 มิลลิเมตร น้ำหนัก 193 กรัม มาพร้อมกับฝาหลังที่ใช้วัสดุเป็นกระจกชิ้นเดียว ไร้รอยต่อ ได้รับแรงบันดาลใจจากอวกาศ มีความโค้งไปกับตัวเครื่อง พร้อมผิวสัมผัสที่แปลกตาไปจากรุ่นอื่นๆ ถ้าใช้มือลูบฝาหลังจะรู้สึกถึงความนุ่มนวล โดยผิวของฝาหลังถูกเคลือบด้วย Frost Matte Finish ป้องกันรอยเปื้อน และรอยนิ้วมือ ก็เลยทำให้รุ่นนี้มีความโดดเด่นด้านการออกแบบ โดยมีสี Gloss Black และสี Blue โดยสี Gloss Black เคลือบฝาหลังสะท้อนคล้ายเซรามิก สวยไปอีกแบบ กันน้ำ กันฝุ่น IP68 กันน้ำลึก 1.5 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
การออกแบบตัวเครื่องมีความบาง แต่มีน้ำหนักเนื่องจากวัสดุเป็นกระจก
การออกแบบการจับถือ ถนัดมือ เข้ามือ การออกแบบปุ่มต่างๆ สวยงาม
อุปกรณ์ในกล่อง มีตัวเครื่อง สายชาร์จ อะแดปเตอร์ หูฟังแบบ USB Type-C ส่วนแท่นชาร์จไร้สาย ขายแยก
หน้าจอแสดงผล 1 พันล้านสี 10 Billion Colour
ระบบสี 1 พันล้านสี (10-bit Full-path Colour Engine) บน OPPO Find X3 Pro 5G ทั้งบนหน้าจอ และในตัวกล้อง
จอแสดงผลดีที่สุด
หน้าจอ QHD+ ขนาด 6.7 นิ้ว (3216×1440) 525 ppi จอแสดงผล AMOLED แบบ edge-to-edge อัตราส่วนคอนทราสต์สี 5,000,000: 1 ความสว่าง 1300-nit ภาพที่เห็นจึงสว่างสดใสเพราะหน้าจอสวย นอกจากนี้ยังได้รับมาตรฐาน A+ จาก DisplayMate รองรับขอบเขตสีได้กว้าง (100 เปอร์เซ็นต์ DCI-P3) และความลึกของสี 10-bit ทำให้จอภาพแสดงผลสีสันที่น่าทึ่งได้กว่า 1 พันล้านสี โดยให้สีสันที่มากกว่าจอแสดงผล 8-bit ถึง 64 เท่า หมายความว่า นี่คือจอที่ดีที่สุดบนมือถือ
เรื่องสีนี่สายตาคนเรา มองเห็นสีได้ต่างจากกล้องมาก ทำให้กล้องพัฒนาขึ้นมาเพื่อเทียบเคียงกับสายตาผู้ชม สีสันสำหรับทุกคน Colour Vision Enhancement เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นสีเหมือนๆ กัน บางคนมีการตอบสนองช้าต่อสีบางสี จึงมีการชดเชยสีให้ทุกคนมองเห็นสีที่ใกล้เคียงสีเดียวกันได้ แม้คนที่บกพร่องการมองเห็นสี
มาตรฐานเทคโนโลยี High Refresh Rate
นอกจากนี้ หน้าจอยังเป็นแบบประหยัดพลังงาน LTPO (Low-temperature Polycrystalline Silicon and Oxide) และยังสามารถแสดงผล ผ่านเทคโนโลยี True Adaptive 120Hz ได้มากขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก OPPO Find X2 5G โดยมีช่วงของการรีเฟรชหน้าจอที่สูงขึ้นที่ 5 ~ 120Hz
รองรับการรับชมวีดีโอ คอนเทนต์ที่เป็นแบบ HDR ได้ด้วย (ลองปรับบน YouTube ได้)
นอกจากนี้ หน้าจอรองรับ Dark Mode / AOD หรือ Always On Display แสดงผลต่างๆ บนหน้าจอได้โดยไม่ต้องกดปุ่มหรือทำการ Wake Up เครื่องเลย
Edge-Lighting
ไฟวิ่งที่ขอบจอทั้งสองข้าง แจ้งเตือน Notification และแจ้งเตือนการโทรเข้า ตอนที่เราปิดจอ
Wallpaper รองรับ Static Wallpaper และ Live Wallpaper
UI ตอนที่เปิดโหมด Dark Mode ไอคอนที่กดเลือกจะเป็นสีเขียว
กล้องดีที่สุด
กล้องหลังคู่
มีลักษณะการวางกล้องที่นูนออกมา ออกแบบได้สวยและแหวกแนวจากรุ่นอื่นๆ มีการออกแบบเลนส์ผิวเคลือบเพื่อป้องกันแสงสะท้อน ช่วยแก้ไขความผิดเพี้ยนและสีตรง เซ็นเซอร์ Sony IMX766 จำนวน 2 ตัว รองรับการถ่ายวีดีโอพันล้านสี ด้วยเลนส์ Wide-Angle และ Ultra-Wide Angle พร้อม 60x Microlens
กล้องจุลทรรศน์ ถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
กล้อง Ultra-Wide Angle 50MP เซ็นเซอร์ IMX766 จับภาพ 1 พันล้านสี ถ่ายภาพ 110 องศา f2.2
กล้อง Wide-Angle 50MP เซ็นเซอร์ IMX766 จับภาพ 1 พันล้านสี f1.8 OIS ความยาวโฟกัสกว้างประมาณ 26 มม. ถ่ายภาพ 12.5MP ระยะมาโคร 4 ซม.
ทั้งกล้อง Wide-angle และกล้อง Ultra-wide angle มีเซ็นเซอร์ IMX766 ความละเอียด 50MP จัดการแสง ความสม่ำเสมอของสี และอุณหภูมิในภาพได้สม่ำเสมอทั้งภาพ จับภาพสีสันพันล้านสีแบบ 10-bit และเรื่องปวดหัวของการถ่ายภาพ คือการเปลี่ยนเลนส์เมื่อเลือกมุมกล้องมุมต่างๆ ดังนั้นแม้จะใช้กล้องไหนถ่าย มุมปกติ มุมกว้าง สีในกล้องใช้เทคโนโลยี 10-bit Full-path Colour Management System ทำให้ได้ภาพที่สวยในทุกมุมกล้อง
สังเกตว่าทั้ง 2 เลนส์มุมกว้างมีความละเอียด 50 ล้านพิกเซลเท่ากัน ถ่าย 1 พันล้านสีได้เหมือนกัน ต่างกันตรง องศาของภาพเท่านั้น ทำให้คุณภาพของภาพจากเลนส์ Wide และ Ultra-Wide ดีทั้งกลางวัน กลางคืน ซึ่งจากปกติมักมีนอยส์
เทียบดูแล้ว รู้สึกว่า ยังไงมุมกล้องเปลี่ยน โทนสีของภาพก็เปลี่ยนไปด้วย แต่ก็ยังได้คุณภาพของภาพที่ดีอยู่
Microlens มองผ่านกล้องจุลทรรศน์
เข้าไปที่กล้อง > More > Microscope
บอกเลยว่า ฟีเจอร์นี้สนุกที่สุดในการทดสอบ เพราะทำให้เราได้เปิดโลกกว้างกับการถ่ายภาพผ่านกล้องจุลทรรศน์ เพื่อเก็บรายละเอียดที่ใกล้มากๆ โดยมีกำลังขยายสูงสุด 60 เท่า
กับไฟวงแหวนวงกลมรอบๆ เลน์กล้อง ทำให้เห็นรายละเอียดของภาพถ่าย หรือถ่ายวิดีโอวัตถุขนาดเล็ก (ความละเอียดสูงสุด 1080p) โดยความละเอียดของกล้อง Microlens คือ 3MP ซูมขยาย 60x ถ่ายวีดีโอ Full HD f3.0 มี 2 โหมดคือ 1x Microlens และ 2x Microlens
สังเกตได้ว่า ภาพยังมีความสว่าง เนื่องจากกล้องมีไฟวงแหวนรอบๆ สาเหตุก็เพราะว่า เพราะเราเอามือถือไปจ่อใกล้วัตถุมากๆ เงาของมือถือทำให้มืด แสงไฟตรงนี้เลยช่วยให้ได้ภาพสว่าง
การถ่ายภาพโหมด Macro กับ Microlens นี่คนละโหมดกัน โดย Microlens จะถ่ายได้ใกล้กว่ามากๆ ไม่ใช่แค่ 4 เซ็นติเมตรที่ถ่าย Macro ปกติ
กล้อง TelePhoto 13MP จับภาพสี 1 พันล้านสี ซูม 5x Hybrid Optical Zoom สูงสุด 20x Digital Zoom f2.4
Portrait
ถ่ายบุคคลได้สวย จับโฟกัสได้ดี ละลายฉากหลังได้สวย ตัดขอบเส้นผมได้เนียนดี
กล้องหน้า
ความละเอียด 32MP f/2.4 FOV 81° เลนส์ 5P ถ่ายได้สวย ทั้งกลางวัน และกลางคืน
All Pixel Omni-Directional PDAF
ปกติกล้องมือถือจะโฟกัสภาพได้เพียงแค่ทางเดียว คือ ขวาและซ้ายเท่านั้น แต่ใน OPPO Find X3 Pro 5G ใช้พิกเซลโฟกัส 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกล้อง Wide-angle และ Ultra-wide-angle สามารถโฟกัสได้ 360 องศารอบทิศทาง และโฟกัสในที่แสงน้อยได้ดี การเพิ่มขึ้นจาก 3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 97 เปอร์เซ็นต์ เห็นผลมากขึ้นจริงๆ
DOL HDR หรือ Digital Overlap High Dynamic Range (DOL HDR)
ปกติเราจะคุ้นเคยกับคำว่า HDR กันอยู่แล้ว แต่ DOL HDR ช่วยลดช่วงเวลาของเฟรมเปิดรับแสงที่ยาวและสั้น ช่วยลดภาพซ้อน หรือแสงริ้วที่อาจเกิดขึ้นได้ มีอัตราส่วนของ signal-to-noise ดีขึ้น และช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น รองรับการจับภาพ HDR ด้วยอัตราเฟรมเรตสูงได้ด้วย
RAW+
ถ่ายภาพ RAW ได้ดีกว่า OPPO Find X2 Pro 5G เพื่อการปรับแต่งภาพ โดยใน OPPO Find X3 Pro 5G นั้นมี RAW+ จับภาพ HDR ในรูปแบบของ RAW ด้วย ซึ่ง RAW+ นั้นสามารถให้รายละเอียดภาพที่มากยิ่งขึ้น และขยายขอบเขตในการปรับแต่งที่มากกว่ามาตรฐานของไฟล์ RAW ปกติ
Cinematic mode
การจับสี 1 พันล้านสี ใช้ประโยชน์จากรายละเอียดแบบ 10-bit คมชัดระดับ 4K, รองรับช่วงสี BT.2020, HDR และ log recording ควบคุม ISO แบบ Manual ทั้งหมด, White balance, ความเร็วของชัตเตอร์ และโฟกัส ทำให้ถ่ายวีดีโอ ได้อย่างมืออาชีพ
การถ่ายวีดีโอ
มีผู้ช่วย AI Highlight Video คุณไม่ต้องกังวลอะไรเรื่องแสง เพราะกล้องทำให้อัตโนมัติ แค่คิดเรื่องราว สตอรี่ การนำเสนอ กล้องจัดการให้เราอัตโนมัติ ตั้งแต่เปิด HDR, โหมดกลางคืน, ซูมเสียง และ Ultra Steady
Stabilization ทุกอย่างอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังตรวจจับฉากต่างๆ ได้ ว่าเราอยู่ที่ไหน คุณมีหน้าที่ นำเสนอ ส่วนเรื่องแสง เสียง ระบบกล้องจัดการให้เอง
สนุกกับการถ่ายภาพ ด้วยฟิลเตอร์ AI Palettes
AI Palettes นำภาพอื่น เช่น ท้องฟ้าอีกโทน มาช่วยสร้างฟิลเตอร์สีที่เป็นเอกลักษณ์
การใช้งาน AI Palettes ให้เปิดรูปภาพที่ต้องการแก้ไข เลือก Edit แล้วเลื่อนไปเลือก AI Palettes (ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) จากนั้นค้นหาภาพที่จะใช้เป็นฟีลเตอร์ แนวๆ เอาภาพมารวมกัน
ในตัวอย่างคือ นำภาพซ้ายสุด มารวมกับภาพลำดับที่ 4 ผลออกมาเป็นภาพลำดับที่ 5
เล่นเกมเครื่องไม่ร้อน
ปรับแต่งระบบระบายความร้อนให้เหมาะกับการเล่นเกม
Game Performance Modes ควบคุมประสิทธิภาพการเล่นเกม และตั้งค่าอุณหภูมิให้เหมาะกับการเล่นเกมมากที่สุด
Game Filters ปรับโทนสีของเกม
Winning Touch ปรับการสัมผัส และป้องกันการสัมผัสแตะจอผิดพลาดได้
Game Space
ปรับแต่งประสิทธิภาพให้เหมาะกับความต้องการในการเล่นเกม โดยมีตัวเลือก Low Power, Balanced หรือ Competition Modes เป็นค่าที่เหมาะสมกับการเล่นเกมในรูปแบบต่างๆ และปรับแต่งเพิ่ม ล็อคความสว่างของหน้าจอ (ไม่ให้ปรับมืดสว่างสลับกันตามสภาพแสง) ปิดการแจ้งเตือน และตั้งค่าการเปิดใช้งานด่วน
ที่สุดเรื่องเสียง
OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมลำโพงสเตอริโอคู่ ให้เสียงดี เสียงเบสหนัก เสียงแหลมชัดเจน ระบบเสียง Dolby Atmos® โดยเสียงจะปรับตามสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมี Movie mode ให้เสียงที่เหมาะกับการรับชมภาพยนตร์
ระบบเสียงสเตอริโอ Dolby Atmos สามารถปรับตามสภาพแวดล้อม หรือปรับตาม Scenario ได้ และมี In-ear Monitoring
ที่สุดของการจัดการพลังงาน
แบตเตอรี่ 4500mAh มาพร้อม Power Saving mode และ Super Power Saving mode รองรับชาร์จไว OPPO VOOC แบบมีสายและไร้สาย ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland
65W SuperVOOC 2.0
เทคโนโลยีการชาร์จ SuperVOOC 2.0 รองรับการชาร์จได้สูงสุด 10V, 6.5A และ 65W ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียง 10 นาที
30W AirVOOC Wireless Flash Charge
ชาร์จไวแบบไร้สาย AirVOOC ชาร์จ 30W เต็มได้ในเวลาเพียง 80 นาที
10W Reverse Wireless Charging
จ่ายไฟ (ชาร์จ) ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ ด้วย 10W Reverse Wireless Charging รอแป๊บเดียว เครื่องอื่นก็ชาร์จเต็ม ไปลุยต่อได้
โหมดพักผ่อน OPPO Relax 2.0
จ้องจอมือถือมาทั้งวัน ผ่อนคลายไปกับเสียง ปลดปล่อยความเครียด และไม่ใช่แค่เพลงกล่อม แต่เป็นเกมสั้นๆ ให้เราคลายเครียด เช่น Breath Guide, Bubble Poke, Draw Coins และเกมอื่นๆ อีกเพียบ
เสียงเรียกเข้าและเสียงแจ้งเตือน Hans Zimmer
OPPO ให้ Hans Zimmer ผู้มีความสามารถทางดนตรี ของวงการฮอลลีวูด โดย Zimmer สื่ออารมณ์ผ่านเสียงที่คมชัดผ่านสีสันพันล้านสี ด้วยเสียงเรียกเข้าและการแจ้งเตือนรูปแบบใหม่ (รออัปเดต OTA)
นอกจากนี้ มีฟีเจอร์ OTG ที่เอา USB Flash Drive แบบ Type-C มาเสียบได้
แบ่งหน้าจอ ใช้ 2 แอป พร้อมกัน บนหน้าจอเดียวกันได้
Soloop แอปที่เอาวีดีโอมาร้อยเรียงต่อกันแล้วใส่เอ็ฟเฟ็กต์ให้สวยงาม ดูมืออาชีพ
System Cloner
ย้ายเครื่องได้ง่ายมากๆ
รีวิว หูฟังไร้สาย OPPO Enco X
OPPO Enco X สร้างสรรค์ร่วมกับ Dynaudio (Co-Created with Dynaudio) ผู้นำด้านการผลิตเครื่องเสียงของประเทศเดนมาร์ก สโลแกน Live The Music มาพร้อมดีไซน์คลาสสิก สวมใส่สบาย น้ำหนักเบาเพียง 4.8 กรัม ใช้วัสดุทำจากซิลิโคนที่มีความแข็งระดับ 2
ใช้ Coaxial Dual-Driver ที่สามารถพบได้แค่เพียงอุปกรณ์เครื่องเสียงชั้นนำเท่านั้น โดยลำโพงด้านหน้า จะใช้ตัวขับเสียงแบบสมดุล (Balanced Membrane Driver) ที่ทำจากแม่เหล็ก ส่งคลื่นความถี่สูง ส่วนลำโพงด้านหลังมีตัวขับเสียงแบบไดนามิก (Dynamic Driver) ประกอบด้วยกันทั้งหมด 3 ชั้น เพื่อจัดการกับคลื่นความถี่กลางและคลื่นความถี่ต่ำ เสียงที่ส่งออกไปจึงมีคุณภาพสูง และเป็นธรรมชาติ
มี 2 สี คือสี White และ สี Blue ควบคุมง่าย กันน้ำและกันฝุ่น IP54 สนทนาเสียงคมชัดด้วยไมค์ 3 ตัว Triple-Microphone Call มีไมโครโฟน built-in ในตัวหูฟัง, ไมโครโฟน array แบบคู่ ภายนอกหูฟัง ตัดเสียงรบกวน พร้อมฟิลเตอร์และระบบตรวจจับเสียงลม ตัดเสียงรบกวนเสียงลมได้ แบตเตอรี่ใช้งานนานถึง 25 ชั่วโมง เมื่อชาร์จในเคสชาร์จ 1 ครั้ง (เล่นเพลงได้นานที่สุด โดยปิดระบบตัดเสียง รบกวน) รองรับการชาร์จไร้สาย Qi Wireless charging และ reverse wireless charging วางชาร์จบนมือถือที่รองรับได้เลย
คุณสมบัติ
- ระบบเสียง DBEE 3.0 (Dynamic Balance Enhanced Engine 3.0) มีความหน่วงต่ำ และมีความละเอียดสูง ให้เสียงชัดเจน ไม่ผิดเพี้ยน
- รับส่งข้อมูลไร้สายแบบ LHDC™ ดีกว่า SBC หรือ ACC แบบเดิม ให้รายละเอียดเสียงได้มากกว่า (ไฟล์เสียง แอปเพลง และมือถือจะต้องรองรับ LHDC คือ OPPO Find X2 5G ขึ้นไป)
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth® 5.2 ใหม่ล่าสุด ดีกว่าเดิม ระยะ 10 เมตร
- ตัดเสียงรบกวนได้ 4 รูปแบบ maximum, standard, transparency mode และ ปิด noise cancellation
- Transparency Mode ถ้าใส่หูฟังแล้วมีคนเรียก ไม่ต้องถอดหูฟัง แต่เปิดฟีเจอร์นี้เพื่อฟังเสียงคุยกับคนอื่นได้เลย
- สลับระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อล่าสุดได้ 2 เครื่องอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อและจับคู่ใหม่ (pair ได้สูงสุด 5 เครื่อง)
- ตรวจจับตำแหน่งของหูฟัง ว่าควรขยับให้ตรงใบหู ได้อย่างเหมาะสม ให้ได้คุณภาพเสียงและการลดเสียงรบกวนที่ดีที่สุด
- ควบคุมด้วยการแตะ ข้ามไปยังเพลงถัดไป รับสายตอบกลับในโทรศัพท์ : แตะหูฟัง 2 ครั้ง, เพิ่ม/ลดเสียง : สไลด์นิ้วมือขึ้นลง
- ราคา 5,999 บาท
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ OPPO Find X 3 Pro