ในงาน Apple Far out ได้มีการเปิดตัว Apple Watches, iPhone 14 series และ AirPods Pro รุ่นใหม่ พร้อมฟีเจอร์หลายๆ อย่างที่น่าสนใจ

Apple Watch Series 8 และ Apple Watch SE

ปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพ และฟีเจอร์การใช้งาน รวมไปถึงเรื่องนวัตกรรมเรื่องความปลอดภัย จอใหญ่ขึ้น มี Always-On Retina display ตัวเรือนแข็งแรง แบตใช้งานได้ทั้งวัน 18 ชั่วโมง รองรับ ECG และตรวจจับ Fall Detection พร้อมความสามารถในการวัดอุณหภูมิ วัดรอบเดือนสุภาพสตรี รองรับ Crash Detection ราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท

ส่วน Apple Watch SE มาในร่าง Apple Watch ได้ประสบการณ์เดียวกัน ทั้ง Activity tracking แจ้งเตือนหัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ และ Emergency SOS ตรวจจับ Crash Detection และออกแบบด้านหลังตัวเรือน ราคาเข้าถึงได้ ราคาเริ่มต้นที่ 9,900 บาท

ทั้งสองรุ่น รันบน watchOS 9 มีแอปออกกำลังกาย (Workout app) ตรวจจับการนอนหลับ และฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและการแพทย์

สำหรับเซ็นเซอร์ของ Apple Watch Series 8 วัดอุณหภูมิร่างกายขณะนอนหลับทุกๆ 5 นาที และวัดการเปลี่ยนแปลงแม้จะมีเพียง 0.1° C ตรวจจับหากนอนไม่พอเนื่องจากออกกำลังกาย, jet lag หรือป่วย

หากใส่นาฬิกาอยู่แล้วเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฟีเจอร์ Emergency SOS จะช่วยแจ้งเหตุฉุกเฉินให้กับคุณ หลังเกิดเหตุ โดย Crash Detection จะนับถอยหลัง 10 วินาที เพื่อติดต่อไปยังรายชื่อผู้ติดต่อฉุกเฉินเพื่อแจ้งเตือนอุบัติเหตุทางรถยนต์

ส่วนใครที่เกรงว่านาฬิกาแบตหมดเร็ว Low Power Mode ช่วยชีวิตนาฬิกาให้ใช้งานได้นานขึ้นถึง 36 ชั่วโมง บน Apple Watch Series 8 ที่เชื่อมต่อกับ iPhone

Apple Watch Ultra

เรียกได้ว่าเป็น Apple Watch ที่สมบุกสมบันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น และแกร่งขึ้น เหมาะกับนักกีฬามืออาชีพ สาย Trial นักวิ่ง กิจกรรมเอ็กซ์ตรีม ตัวเรือนสุดสมบุกสมบัน สามสายแบบเฉพาะทาง เหมาะกับกิจกรรมต่างๆ การผจญภัยในแบบต่างๆ เรียกได้ว่า ใส่สบาย แต่สมบุกสมบันขั้นสุด ราคาเริ่มต้น 31,900 บาท

AirPods Pro (รุ่นที่ 2)

เสียงดีขึ้น อัปเกรดชิปเสียง โดยใช้ชิป H2 ตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟดีขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดย AirPods Pro รุ่นใหม่ มาพร้อมการอัปเดตครั้งสำคัญสำหรับโหมดฟังเสียงภายนอก ระบบเสียงตามตำแหน่ง ราคาเริ่มต้น 8,990 บาท

iPhone 14 และ iPhone 14 Plus

ใช้ชิป ชิป A15 Bionic ที่มี GPU แบบ 5-core มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ พร้อมระบบกล้องคู่ใหม่ คุณสมบัติการตรวจจับอุบัติเหตุทางรถยนต์ พร้อม SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม และแบตเตอรี่อึดที่สุดใน iPhone

iPhone 14 และ iPhone 14 Plus จะวางจำหน่ายในสีมิดไนท์, สีฟ้า, สีสตาร์ไลท์, สีม่วง และรุ่น (PRODUCT)RED1 ในความจุ 128GB, 256GB และ 512GB โดย iPhone 14 ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท และ iPhone 14 Plus ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน โดย iPhone 14 จะวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 กันยายน และ iPhone 14 Plus จะวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคมเป็นต้นไป

การอัปเกรดหลักๆ คือ ระบบกล้อง หน้า – หลัง โหมดแอ็คชั่นใหม่ ถ่ายวิดีโอนิ่งมากๆ แฟลช True Tone ที่ปรับปรุงใหม่ สว่างขึ้น 10% และให้แสงแฟลชที่สม่ำเสมอขึ้น โหมดภาพยนตร์ 4K ที่ 30 fps และ 4K ที่ 24 fps
รองรับ HDR แบบ Dolby Vision

คุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน สามารถตรวจจับเหตุรถชนรุนแรงและโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้หมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ได้ หรือโทรออกจากนาฬิกา Apple Watch ที่เชื่อมต่อกับ iPhone ที่ใกล้ที่สุด

SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม ใช้การติดต่อผ่านดาวเทียมกรณีเชื่อมต่อสัญญาณมือถือหรือ Wi-Fi ไม่ได้ เสาอากาศสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง และรองรับการรับส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉิน โดยแสดงวิธีหัน iPhone ไปในทิศทางที่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียม จากนั้นก็จะส่งต่อแบบสอบถามเบื้องต้น ใช้เวลาสั้นๆ เพื่อให้ติดต่อกับหน่วยงาน เจ้าหน้าทีหรือกู้ภัยได้ ผู้ใช้สามารถแชร์ตำแหน่งที่ตั้งผ่านดาวเทียม แม้ออกเดินป่าหรือตั้งแคมป์ในพื้นที่อับสัญญาณ ก็ไม่ต้องกังวลในการติดต่อสื่อสาร โดยให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเดือนพฤศจิกายนนี้ และให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max

มาพร้อม Dynamic Island ติ่งมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นจอแสดงสถานะเล็กๆ ได้ โดยเป็นการแจ้งเตือนและแสดงกิจกรรมต่างๆ บนหน้าจอ Dynamic Island นี้ กล้องความละเอียด 48MP ครั้งแรกบน iPhone จอภาพ Always-On Display ครั้งแรกบน iPhone

ใช้ชิป A16 Bionic กล้องหลักความละเอียด 48MP ครั้งแรกบน iPhone เซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel และ Photonic Engine กระบวนการจัดการภาพที่ดียิ่งกว่าเดิม พร้อมฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม และการตรวจจับการชนกัน

ทั้งสองรุ่นใช้จอภาพ Super Retina XDR ใหม่ พร้อม ProMotion เทียบเท่ากับ Pro Display XDR ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต เป็น 2 เท่าของ iPhone 13 Pro มีจอภาพแบบ Always-On Display เป็นครั้งแรกบน iPhone

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีสีใหม่ให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีม่วงเข้ม สีเงิน สีทอง และสีดำสเปซแบล็ค มีความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB โดย iPhone 14 Pro ราคาเริ่มต้น 41,900 บาท และ iPhone 14 Pro Max ราคาเริ่มต้น 44,900 บาท สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน

พอคุณซื้อปุ๊บ สิ่งที่จะได้ก็คือกล้องที่ดีขึ้น ถ่ายวีดีโอดีขึ้น กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP ใหม่ พิกเซลขนาด 1.4 µm กล้องเทเลโฟโต้ดีขึ้น รองรับการซูมแบบออปติคัล 3 เท่า กล้องหน้า TrueDepth ƒ/1.9 และยังเป็นครั้งแรกที่มีออโต้โฟกัส สามารถโฟกัสได้เร็วยิ่งขึ้นในสภาวะแสงน้อยและถ่ายรูปหมู่ได้ในระยะที่ไกลออกไปกว่าเดิม พร้อมแฟลช True Tone แบบใหม่ โดยใช้แผง LED จำนวน 9 ดวง ที่จะเปลี่ยนรูปแบบตามทางยาวโฟกัสที่เลือกไว้

ส่วนการถ่ายวีดีโอมีโหมดแอ็คชั่น ถ่ายวีดีโอนิ่ง และปรับภาพให้สอดคล้องกับการส่ายไปมา การเคลื่อนไหว และการสั่นในระดับมากๆ แบบกล้องแอคชั่นแคม ส่วนโหมดภาพยนตร์ ระดับ 4K ที่ 30 fps และระดับ 4K ที่ 24 fps

หมายเหตุ : ปัจจุบัน iPhone ในประเทศไทย จำหน่ายในรุ่น iPhone 14 Pro, iPhone 14, iPhone SE (รุ่นที่ 3), iPhone 13 รุ่น iPhone 13 และ iPhone 13 mini และ iPhone 12 มีรุ่นเดียวที่จำหน่าย

https://www.apple.com/th/shop/buy-iphone

Comments

comments