ในงาน Apple Event ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 12 กันยายน ตรงกับเที่ยงคืนเข้าเช้าวันที่ 13 กันยายน โดยมีการเปิดตัว Apple Watch Series 9, Apple Watch SE, Apple Watch Ultra 2 และ iPhone 15 Series
Apple Watch Series 9
ฮือฮาด้วยคำสั่งนิ้ว “double tap” หรือการ “แตะ 2 ครั้ง” พัฒนาให้จอภาพมีความสว่างขึ้น ถึง 2,000 นิต, Siri เร็วขึ้น รันบน watchOS 10
และสิ่งที่เน้นมากที่สุดคือ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” สามารถจับคู่สายและตัวเรือน Apple Watch ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน โดย Apple มุ่งสู่เป้าหมาย Apple 2030 นั่นคือการทำให้ธุรกิจทั้งหมด ตลอดจนซัพพลายเชนการผลิต และวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030
ชิป Apple Silicon SiP รุ่น S9 ประมวลผลได้เร็วกว่า Apple Watch Series 8 สูงสุดถึง 2 เท่า อายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ 18 ชั่วโมง
คำสั่งนิ้ว เช่น การแตะ ปัด ยกข้อมือ และบังหน้าปัดเพื่อปิดเสียง เป็น Gesture อันเป็นเอกลักษณ์ของ Apple ที่นาฬิกาอื่นทำไม่ได้ โดยคำว่า Double Tap ถ้าแปลตรงตัวคือ “แตะสองครั้ง” หลักๆ คือ แตะนิ้วชี้กับนิ้วโป้งสองครั้งด้วยมือที่สวมนาฬิกา
ใช้เพื่อหยุดตัวจับเวลา เล่นหรือหยุดเพลงชั่วคราว หรือเลื่อนนาฬิกาปลุกได้ เวลาเรามือไม่ว่างก็แค่ทำท่าทาง Gesture โดยไม่ต้องเอามืออีกข้างมาเตะหน้าจอนาฬิกาเลย นอกจากนี้ถ้ามือเราไม่ว่างก็ใช้ท่าทางนี้ในการรับและวางสายโทรศัพท์ และถ่ายภาพด้วยรีโมทกล้องบน Apple Watch ได้ด้วย
วิธีการทำงานของ Double Tap ก็คือการตรวจจับการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนโลหิตเมื่อมือและนิ้วขยับขณะแตะสองครั้ง
ใช้ Apple Watch ค้นหา iPhone ผ่าน Ultra-wideband (UWB) Gen 2 โดยทำงานร่วมกับ iPhone 15
Apple Watch Series 9 จำหน่ายในขนาด 41 มม. และ 45 มม. ในสีสตาร์ไลท์ สีมิดไนท์ สีเงิน รุ่น (PRODUCT)RED และตัวเรือนอะลูมิเนียมสีชมพูใหม่ รวมถึงตัวเรือนสแตนเลสสตีลสีทอง สีเงิน และสีกราไฟต์
Apple Watch Series 9 ตัวเรือนอะลูมิเนียมทุกเรือนที่มีสายแบบ Sport Loop ใหม่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน
Apple Watch SE มีจำหน่ายในตัวเรือนอะลูมิเนียมขนาด 40 มม. และ 44 มม. และมีความเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่อจับคู่กับสายแบบ Sport Loop ใหม่
ราคา
Apple Watch Series 9 ราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท
watchOS 10 จะพร้อมใช้งานภายในปีนี้สำหรับ Apple Watch Series 4 หรือใหม่กว่าในวันจันทร์ที่ 18 กันยายน และต้องมี iPhone XS หรือใหม่กว่าที่ใช้ iOS 17
หมายเหตุ : คุณสมบัติบางประเภทอาจใช้ไม่ได้ในอุปกรณ์บางเครื่องและในบางภูมิภาค
Apple Watch SE
Apple Watch ในราคาเริ่มต้น ติดตามกิจกรรม, การแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจเร็วและช้า, การตรวจจับการล้ม, SOS ฉุกเฉิน, การตรวจจับการชนกันและ watchOS 10
Apple Watch SE ราคาเริ่มต้นที่ 9,490 บาท
Apple Watch Ultra 2
นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Apple Watch Ultra 2 รุ่นสมบุกสมบันของ Apple มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนาน 36 ชั่วโมง และยังใช้งานได้นานถึง 72 ชั่วโมงเมื่ออยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน มาพร้อมกับ Neural Engine แบบ 4-core ที่สามารถประมวลผลงานด้านการเรียนรู้ของระบบได้เร็วกว่า Apple Watch Ultra สูงสุดถึงสองเท่า และรองรับคำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง” หรือ Double Tap
หน้าปัด Modular Ultra
ใช้ประโยชน์จากหน้าจอขนาดใหญ่ โดยใช้ขอบด้านนอกเพื่อนำแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ รวมถึงวินาที ระดับความสูง หรือความลึก เหมาะกับคนที่เล่นกีฬา ผจญภัยกลางแจ้ง และกิจกรรมในมหาสมุทรและทางน้ำ รองรับสายเอ็กซ์ตรีม ใช้งานได้ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าน้ำทะเล 500 เมตรเพื่อสำรวจหุบเขาที่ต่ำที่สุด ไปจนถึง 9,000 เมตรสำหรับพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ดำน้ำสกูบาความลึก 40 เมตร
Apple Watch Ultra 2 ขนาด 49 มม. และเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่อจับคู่กับสายแบบ Trail Loop หรือ Alpine Loop แบบใหม่
สายแบบ Alpine Loop มีสีใหม่ให้เลือก (สีน้ำเงิน, สี indigo, สีมะกอก), Trail Loop (สีส้ม/เบจ, สีเขียว/เทา, สีน้ำเงิน/ดำ) และ Ocean Band (สีน้ำเงิน, สีส้ม)
Apple Watch Ultra 2 มีราคา 31,900 บาท
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Apple 2030
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus
มาพร้อมไซน์ใหม่สวยงาม กระจกแต่งสีด้านหลังตัวเครื่องที่ทนทานและขอบมนแบบใหม่ และมี Dynamic Island สำหรับรุ่นเล็กแล้ว กล้องหลัก 48MP พร้อมเทเลโฟโต้ 2 เท่า และที่สำคัญ พอร์ตชาร์จ USB‑C มาแล้วบน iPhone!
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ใช้ชิป A16 Bionic การถ่ายภาพที่บอกเลยว่า iPhone 15 รุ่นเริ่มต้นก็ถ่ายภาพได้สวย โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคล
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะพร้อมวางจำหน่ายใน 5 สีใหม่ ได้แก่ สีชมพู สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า และสีดำ
สั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 22 กันยายน
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มีขนาดจอภาพ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ และมาพร้อม Dynamic Island จอภาพ Super Retina XDR ความสว่าง HDR สูงสุดเฉพาะจุดสว่างได้ถึง 1600 นิต ขณะอยู่กลางแจ้งยังสว่างได้ถึง 2000 นิต หรือสว่างเป็น 2 เท่าของรุ่นก่อนหน้า
จุดที่น่าสนใจคือการแต่งสีในกระจกด้านหลังตัวเครื่อง 5 สีสันที่สวยงาม ใช้วัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ตัวเครื่องด้านหน้าแบบ Ceramic Shield แข็งแกร่งยิ่งกว่ากระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน ทนน้ำและฝุ่น
ถ่ายภาพเทเลโฟโต้ 2 เท่า ซูมคุณภาพออปติคัลได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่ 0.5x, 1x เท่า และ 2x นับเป็นครั้งแรกในระบบกล้องคู่ของ iPhone
ทั้ง 2 รุ่นใช้ขั้วต่อ USB‑C ใช้สายเส้นเดียวกันเพื่อชาร์จได้ทั้ง iPhone, Mac, iPad และ AirPods Pro (รุ่นที่ 2) และสามารถชาร์จ AirPods หรือ Apple Watch ได้โดยตรงจาก iPhone โดยใช้ขั้วต่อ USB‑C ด้วย และทั้ง 2 รุ่น ยังรองรับ MagSafe และการชาร์จแบบไร้สาย Qi2 ในอนาคต
มาพร้อม iOS 17
อัปเดตแอปโทรศัพท์ คุณสมบัติวอยซ์เมล เห็นข้อความจากการถอดเสียงบนอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ในขณะที่มีคนกำลังฝากข้อความวอยซ์เมล เลือกรับสายระหว่างที่ผู้โทรกำลังฝากข้อความได้ด้วย แอปข้อความมีสติกเกอร์แบบใหม่ เช็คอินแจ้งเพื่อนและครอบครัวโดยอัตโนมัติเมื่อเดินทางไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย และ NameDrop แชร์ข้อมูลรายชื่อได้ง่ายขึ้นเพียงแค่นำ iPhone ทั้ง 2 เครื่องมาอยู่ด้วยกัน
ราคา
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus พร้อมวางจำหน่ายในสีชมพู สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า และสีดำ โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ความจุ 128GB, 256GB และ 512GB ในราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท หรือ 3,290 บาท ต่อเดือน และ 37,900 บาท หรือ 3,790 บาท ต่อเดือน ตามลำดับ
สั่งซื้อ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ล่วงหน้าได้ตั้งแต่เวลา 19:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ของวันศุกร์ที่ 15 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 22 กันยายน
ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายนเป็นต้นไป iCloud+ จะให้บริการ 2 แผนใหม่ ได้แก่ 6TB ในราคา 999 บาทต่อเดือน และ 12TB ในราคา 1,990 บาทต่อเดือน เพื่อให้ผู้ใช้มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากขึ้นสำหรับไฟล์ รูปภาพ วิดีโอ
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max
มาพร้อมดีไซน์จากไทเทเนียมที่ทั้งแข็งแกร่งและเบา มีขอบมนแบบใหม่ ปุ่มแอ็คชั่นใหม่ อัปเกรดกล้อง และชิป A17 Pro เล่นเกมลื่นสุดๆ
ข้อดีของการออกแบบมาด้วยไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ทำให้แข็งแกร่งและน้ำหนักเบา อัปเกรดกล้องเทียบเท่าเลนส์ระดับโปร 7 ตัว กล้องหลัก 48MP รองรับค่าเริ่มต้นความละเอียดสูงเป็นพิเศษแบบใหม่ที่ 24MP และยังรองรับการถ่ายภาพบุคคล ควบคุมโฟกัสและระยะชัดลึก ปรับปรุงโหมดกลางคืนและ HDR กล้องเทเลโฟโต้ 5 เท่าแบบใหม่ ใช้ชิป A17 Pro ขั้วต่อ USB‑C ความเร็วของ USB 3 ที่เร็วกว่า USB 2 สูงสุด 20 เท่า
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max พร้อมวางจำหน่ายใน 4 สีสันใหม่โดนใจ ได้แก่ สีไทเทเนียมดำ สีไทเทเนียมขาว สีไทเทเนียมน้ำเงิน และสีไทเทเนียมธรรมชาติ โดยลูกค้าสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 22 กันยายน
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มีขนาดจอภาพที่ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ ตัวเครื่องด้านหน้าแบบ Ceramic Shield แถบไทเทเนียมที่หุ้มโครงสร้างส่วนล่างแบบใหม่ทำจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% จอภาพ Super Retina XDR เทคโนโลยี ProMotion
ปุ่มแอ็คชั่นแบบใหม่
อวสานปุ่ม สวิตช์เปิด/ปิดเสียง (ค่าเริ่มต้นของปุ่ม Action คือใช้สลับเปิด/ปิดเสียง) มีตัวเลือกเพิ่มเติมให้ผู้ใช้เลือกได้หลายอย่าง เช่น สั่งให้เปิดกล้องหรือไฟฉายอย่างรวดเร็ว เปิดใช้งานแอปเสียงบันทึก โหมดโฟกัส แอปแปลภาษา แว่นขยาย หรือใช้คำสั่งลัด แต่ผู้ใช้สามารถเลือกการดำเนินการจากรายการได้เองเพื่อความสะดวกและรองรับการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max รองรับ Wi-Fi 6E เชื่อมต่อเร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า และรองรับ 5G รองรับ MagSafe และการชาร์จแบบไร้สาย Qi2 ในอนาคต
ราคา
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max พร้อมวางจำหน่ายในสีไทเทเนียมดำ สีไทเทเนียมขาว สีไทเทเนียมน้ำเงิน และสีไทเทเนียมธรรมชาติ โดย iPhone 15 Pro มีราคาเริ่มต้นที่ 41,900 บาท หรือ 4,190 บาท ต่อเดือน และมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB สำหรับ iPhone 15 Pro Max มีราคาเริ่มต้นที่ 48,900 บาท หรือ 4,890 บาท ต่อเดือน และมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ความจุ 256GB, 512GB และ 1TB
สั่งซื้อ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ล่วงหน้าได้ตั้งแต่เวลา 19:00 น. ตามเวลาในประเทศไทยของวันศุกร์ที่ 15 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 22 กันยายน
ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายนเป็นต้นไป iCloud+ จะให้บริการ 2 แผนใหม่ ได้แก่ 6TB ในราคา 999 บาทต่อเดือน และ 12TB ในราคา 1,990 บาทต่อเดือน เพื่อให้ผู้ใช้มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากขึ้นสำหรับไฟล์ รูปภาพ วิดีโอ
ที่มา Apple