หลังจากที่เมื่อหลายเดือนที่แล้ว Apple ทำการเปิดตัว iPad Pro 12.9” ไป ส่วนตัวอุ้ม คิดว่าเป็นอีกนึงอุปกรณ์ที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องของขนาด ทำให้เวลาพกพาไปใช้จริงนอกบ้าน อาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก วันนี้ อุ้มขอมา รีวิว iPad Pro 9.7” ที่ถือว่าเป็นตัวน้องของ Product Line นี้ ที่จะบอกคุณได้ว่า ทำไมมันเล็กลง แต่โดนขึ้น! ไปเริ่มกันเลยค่ะ

SIZE

ที่ผ่านมา วงการมือถือ เริ่มทำให้เราคิดว่า “อะไรที่ใหญ่ขึ้น แปลว่าจะดีขึ้น” จนกระทั่ง iPad Pro 12.9” ออกมา อุ้มเองก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ ว่ามันคือ iPad (หรือ Tablet) ที่ทรงพลังที่สุด แต่ปัญหาที่ตามมา กลับเป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของมัน ที่ทุกครั้งเอาออกมาจากบ้าน ก็ไม่กล้าหยิบขึ้นมาทำงาน หรือใช้งานสักเท่าไหร่ เพราะในชีวิตจริง เราอาจจะไม่ได้ต้องการความใหญ่ขนาดนั้น Apple เลยขอเอาใหม่ค่ะ เอาร่างของ iPad Air 2 มายกเครื่อง ใส่ความเจ๋งของ iPad Pro เข้าไป กลายมาเป็น iPad Pro 9.7” อย่างที่เราๆ ท่านๆ เห็นกัน โดยมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้ว หนาเพียง 6.1 มม. หนักเพียง 444 กรัม ถ้าอยากรู้ว่าขนาดเท่าไหร่ ลองหยิบ iPad Air2 มาดู จะได้ขนาดเท่านั้นเลยค่ะ 555 พอลดขนาดลง สิ่งที่ตามมาคือ

DSC09538
• ถือถนัดมือมากขึ้น
• ใช้งานนอกบ้าน รู้สึกปกติ เพราะเหมือนเล่น iPad Air 2 มากกว่า
• เบาลงครึ่งนึง พกพาสะดวกมากขึ้น
ใครว่าอะไรที่เล็กลงจะไม่ดี … อาจไม่ใช่เสมอไปนะคะสำหรับเจ้า iPad Pro ตัวนี้

DIFFERENT

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะเริ่มรู้สึกว่า แล้วมีอะไรที่แตกต่างกับ iPad Air2 บ้างหนอ สิ่งที่แตกต่างที่อุ้มกำลังจะเล่าให้ฟังนี่ละ ที่ทำให้ iPad Pro 9.7” โดนใจอุ้มมากขึ้น ขอเล่าเป็น 2 ส่วนนะคะ คือ OUTSIDE และ INSIDE ค่ะ

DSC09539

OUTSIDE

ถ้ามองเผินๆ คงไม่ได้แตกต่างอะไร แต่ก็มีบางจุดที่พอจะสังเกตได้นะคะ เช่น
• สิ่งที่ดูง่ายสุดในตอนนี้ คงจะเป็นสีใหม่ค่ะ เป็นครั้งแรกที่ Apple ทำ iPad ออกมาเป็นสี Rose Gold ซึ่งดูสวยงามและเข้ากันดีกับเครื่องใหญ่ๆแบบนี้
• ลำโพง 4 ตัว (บนสอง ล่างสอง) เสียงกระหึ่มและคุณภาพของเสียงน่าประทับใจมาก จุดนี้เป็นจุดที่เด่นมากๆ ของตระกูล Pro ทั้งสองรุ่นเลยนะคะ
• แฟลช True Tone ด้านหลัง จุดนี้เป็นจุดที่เพิ่มเข้ามาใน iPad Pro 9.7” เลยค่ะ และเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถใส่เคสของ iPad Air 2 ได้
• Smart Connector ที่เอาไว้ต่อกับ Smart Keyboard

INSIDE

ส่วนที่แตกต่างและเพิ่มขึ้นมาจริงๆ น่าจะเป็นที่ภายในมากกว่านะคะ ที่เรียกได้ว่าแทบจะยกเครื่องของ iPad Pro 12.9” มาเลย อีกทั้งยังเพิ่มความสามารถบางอย่าง ที่ iPad Pro ตัวแรกไม่มีอีกด้วย เช่น

DSC09542

A9X CHIP

การที่ iPad Pro 9.7” ได้ใช้งานชิพ A9X แบบ 64 บิต ทำให้ตัวเครื่องมีความไว รวมทั้งประสิทธิภาพที่สูงมาก อุ้มลองใช้แอพ Antutu ในการทดสอบ เห็นคะแนนออกมาแล้วน่าตกใจค่ะ เพราะคะแนนสูงท่วมท้นมาก จากที่อุ้มลองใช้งานมา ก็สัมผัสได้ถึงความเร็วกว่ารุ่นอื่นๆ แม้จะถูกลดแรมลงมา จากเจ้าตัวใหญ่ก็ตาม

image

True Tone Retina Display

ความแจ่มของจอใหญ่ๆ ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องความสวยงามเลยค่ะ เพราะจอ Retina ของ iPad Pro มีความละเอียดอยู่ที่ 264 ppi ที่ Apple เคลมว่าจะมีความอิ่มตัวของสีมากกว่า iPad รุ่นก่อนๆ ถึง 25% และใน iPad Pro 9.7” นี้ ยังเพิ่มความสามารถการแสดงผลหน้าจอแบบ True Tone ที่จะปรับเปลี่ยนสีของหน้าจอ ตามสภาพแสงในขณะนั้นๆ เมื่อใช้งานจริงแล้ว ถือว่าเป็นอีก 1 ฟังก์ชั่นที่น่าสนใจมากๆเลยทีเดียวนะคะ

การใช้งานร่วมกับ Apple Pencil

Apple Pencil ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Accessories ดีๆ ที่คนที่ชอบจด หรือวาดรูปพึงมีเลยค่ะ เพราะอุ้มยังชอบการจดจาก Apple Pencil มากสุดเมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ อาจจะถนัดมือน้อยกว่า S Pen ไปนิด แต่มีความนุ่มนวล ลื่นไหล เหมือนเวลาเราจดบนกระดาษจริงๆ ติดอยากเดียวคือมันเก็บยาก คือมันแพงมากกกกก (3,900 บาท) เมื่อเทียบกับปากกาอื่นๆ แต่เราสามารถทำหายได้ง่ายๆเลย มันไม่มีที่เก็บ ถ้าไม่ได้เอากระเป๋าไปก็จบเลย แนะนำให้ใช้คู่กับแอพ Notability นะคะ แล้วชีวิตการจดงานจะดีขึ้นเลยทันที

DSC09536

การใช้งานร่วมกับ Smart Keyboard

เทคโนโลยีของ Smart Keyboard ในการเชื่อมต่อผ่าน Smart Connector เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจมากนะคะ หลังจากที่อุ้มเอามาลองประกบกับตัวเครื่อง และเริ่มใช้กับงานเขียนรีวิวจริงๆจังๆ (ซึ่งรีวิวนี้ก็เขียนบน iPad Pro 9.7” นี่ละค่ะ 555) ก็เริ่มหลงรักการใช้งานเจ้า Smart Keyboard เพราะการดีไซน์ให้สามารถใช้งานเป็น Smart Cover อาจจะนูนกว่า Smart Cover ออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตัวเครื่องหนักขึ้น หรือถือลำบากขึ้น ถ้าเทียบกับตอนอุ้มใช้งาน Surface Pro 4 แล้ว ต้องบอกว่าเจ้า iPad Pro 9.7” + Smart Keyboard ทำงานได้ดีกว่ามากค่ะ ติดอยู่สองเรื่องเท่านั้นค่ะ คือ

image
• ไม่มีสกรีนภาษาไทย (แก้ปัญหาโดยการติดสติกเกอร์ แต่ว่าอาจจะไม่สวยเท่าตอนไม่ติดนะคะ)
• เล็กกว่า Keyboard จริง ทำให้ตอนพิมพ์ต้องทำการเกร็งมือเล็กน้อย

image
โดยรวมแล้ว อุ้มชอบ Smart Keyboard มากๆ และค่อนข้างคุ้มกับราคา 5,700 บาท กับการใช้งานของอุ้มค่ะ นอกจากนี้ ยังมี shortcut ต่างๆ ที่เราสามารถกดผ่าน Smart Keyboard ได้เลยเช่น
1. Cmd + H : กลับหน้าโฮม
2. Cmd + C : Copy ข้อความ
3. Cmd + V : Paste ข้อความ
4. Cmd + X : Cut ข้อความ
5. Cmd + Tab : เปลี่ยนแอพ

กล้องที่เปลี่ยนไป

ตอนแรกอุ้มก็ค่อนข้างสงสัยค่ะ ว่าใครจะใช้ iPad ถ่ายรูป แค่ยกขึ้นมายังหนักเลย แต่มาลองดูจริงๆ จะเห็นว่ามันเหมาะกับการถ่ายงานด่วนที่พร้อมตัดต่อเลย หรือว่าแก้งานบางภาพ หรือบางคลิปที่อาจจะพลาดไป คราวนี้เลยจัดกล้องมาให้ ประหนึ่งเป็น iPhone 6s Plus
• ทั้งกล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ถ่ายวิดีโอได้ระดับ 4K มี Live Photos และแฟลช True Tone เรียกว่าครบเลยทีเดียว
• กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล มี Retina Flash ถ่ายออกมาได้งามงอน
ถ้ายังชัดไม่พอ เราก็ใช้สาย SD Card to Lightning เสียบแล้วเอาภาพจากกล้องอื่นๆของเรา มาเข้าในเครื่องเพื่อ Process ต่อไป โดยไม่ต้องง้อคอมพิวเตอร์ได้เช่นกันนะคะ

การใช้งานสองจอแบบสมบูรณ์

อีกหนึ่งลูกเล่นที่ดีที่สุดบน iPad Pro คือการใช้งานได้สองจอค่ะ เพราะเราจะเปิดดูหนัง ไปคู่กับนั่งพิมงาน หรือหาข้อมูลในเว็บ ไปพร้อมกับทำ Presentation ก็ยังสามารถทำได้ ตอนนี้ก็มีหลากหลายแอพ ที่รองรับการใช้งานสองจอได้อย่างอิสระจากกันแล้วด้วยนะคะ หวังว่า LINE จะรองรับในอนาคตอันใกล้สักที

DSC09541

การใช้งานอื่นๆ ที่เจ๋งดี

• LINE for iPad ใช้งานคู่ Account เดียวกับ iPhone ได้ ตอบลูกค้าผ่าน Smart Keyboard ได้สบายๆ
• iCloud Drive อัพทั้งไฟล์ แล้วมาแก้ใน iPad ได้เลยทันที อุ้มใช้ตอนพรีเซ้นบ่อยๆค่ะ
• Word บน iPad ใช้ดีกว่าบน Mac อีก เขียนได้ด้วยนะคะ 555 แล้วเซฟไฟล์ออนไลน์ผ่าน OneDrive ได้เลย
• NightShift ปรับแสงเหลืองตอนค่ำคืน ช่วยลดอาการนอนไม่หลับเวลาเราเล่น Tablet ก่อนนอน
• เล่นเกมมันส์มาก แต่เมื่อยมือชะมัด
• แบตอยู่ได้ประมาณ 10 ชม. ตั้งแต่ใช้งานมา แบตไม่เคยลงไปจนหมดเลยค่ะ (ชาร์ตทุกวัน)

ราคา

สำหรับคนที่อยากได้ สามารถซื้อ iPad Pro 9.7” ได้ที่ Apple Online Store หรือ iStudio ได้แล้วนะคะสำหรับรุ่น WiFi ส่วนตัวที่ใส่ซิมได้ น่าจะตามมาเร็วๆนี้ค่า

รุ่น 32 GB ราคา 22,900 บาท
รุ่น 128 GB ราคา 28,900 บาท
รุ่น 256 GB ราคา 34,000 บาท

ONE WEEKS LATER

DSC09536

อุ้มขาย Surface Pro4 ไปตั้งแต่วันแรกที่ได้ iPad Pro 9.7” มาค่ะ ไม่ใช่ Surface Pro 4 ไม่ดีนะคะ ดีเหมือนที่อุ้มเคยรีวิวไปค่ะ แต่ปัญหาคือ ไม่ค่อยได้ใช้เลย เพราะหนักและไม่สามารถเปิด Keyboard แล้วตั้งบนตักเวลาประชุมได้ สำหรับการใช้งาน iPad Pro 9.7” อุ้มไม่ได้เอามาใช้ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกับตอนซื้อ iPad Air แต่ตั้งใจจะนำมันมาเพื่อทำงานรีวิวนอกสถานที่ หรือรีบอัพข่าวด่วนอะไร ซึ่งหนึ่งวีคที่ผ่านมา เจ้านี่ทำได้ดี ด้วยแอพที่มารองรับและประสิทธิภาพโดยรวมของมันค่ะ ยิ่งบวกกับการใช้งานคู่กับ S7 Edge ยิ่งเป็นการใช้งานที่สมบูรณ์ อุ้มยังเชื่ออยู่ลึกๆ ค่ะ ว่าถ้าใช้ iOS คู่กับ Android เราจะดึงความสามารถของทั้่งสองเจ้าออกมาได้ดีที่สุด วันนี้อุ้มก็ขอฝาก รีวิว iPad Pro 9.7” ไว้เพียงเท่านี้นะคะ สวัสดีวันปีใหม่ไทย เที่ยวสงกรานต์อย่างระมัดระวัง และมีความสุขมากๆนะคะ

Comments

comments