ปีนี้ งาน Mobile World Congress (MWC) Shanghai 2021 กลับมาจัดงานอีเวนท์อีกครั้ง ในวันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 และมีการจัดงาน virtual ออนไลน์ด้วย งานนี้ก็มีบรรดาค่ายผู้ผลิตมือถือตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง โดย OPPO มีการนำเสนอเทคโนโลยี โครงการ Flash Initiative จะนำการชาร์จ VOOC flash charging ของ OPPO ไปใช้กับรถยนต์ พื้นที่สาธารณะและอุปกรณ์ใหม่ๆ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ด้วย
หลากหลายเทคโนโลยีของ OPPO ที่น่าจับตาในงาน ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์แบบม้วนได้ จอไม่พับ เทคโนโลยีการชาร์จ Internet of Things และ 5G
โดยโทรศัพท์ม้วนได้ OPPO X 2021 สร้างความท้าทายให้กับวงการมากๆ เพราะทำยังไงไม่ให้มีรอยพับบนหน้าจอ โดย OPPO ได้ยื่นขอสิทธิบัตรใหม่ 122 รายการ ซึ่งมี 12 รายการที่เกี่ยวข้องกับกลไกแบบม้วนได้แบบใหม่
ทั้งหมด ผู้เข้าชมงานจะได้เห็น concept phone นี้ และได้เห็นกับตาตัวเองว่า จอแสดงผล OLED ที่ขยายจาก 6.7 นิ้วเป็น 7.4 นิ้วได้อย่างไม่มีสะดุดเป็นอย่างไร ซึ่งรอยพับหรือเส้นพับบนหน้าจอ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องก้าวข้ามและท้าทายเป็นอย่างมาก โดย Warp Track หน้าจอลามิเนต ช่วยให้หน้าจอขยายออกได้เหมือนกับร่องรอยของหนอนผีเสื้อ แกน 6.8 มม. สามารถทำให้หน้าจอโค้งงอได้โดยไม่มีรอยพับ และระบบส่งกำลัง Roll Motor มีมอเตอร์ในการขับเคลื่อน 2 ตัว เพื่อให้สามารถยืดขยายและหดกลับได้อย่างไหลลื่นโดยไม่ทิ้งแรงเค้นหรือแรงเสียดทานที่มากเกินไป บนจอแสดงผลระดับไฮเอนด์ และด้วยความเปราะบางนี้เอง เมื่อกางออก จะเกิดการสัมผัสกับการทำงานภายใน จึงสร้างระบบที่ใช้แผ่นเลื่อน 2 แผ่น เพื่อรองรับหน้าจอในการหดกลับหรือขยายตัวจนสุด และมีกรอบแบบไดนามิกที่เสริมความแข็งแรงให้กับอุปกรณ์ทั้งหมด ดังนั้น หน้าจอจึงแข็งแรงและไหลลื่นได้รับการปกป้องตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สาย Wireless Air Charging ตัวใหม่ แก้ปัญหาเดิมที่การชาร์จไร้สายจะต้องวางให้ตรงตำแหน่งเป็นเป๊ะๆ คลาดเคลื่อนได้นิดหน่อย แต่เทคโนโลยี magnetic resonance ทำให้ OPPO X 2021 เริ่มชาร์จได้ในทันทีที่เข้าใกล้แผ่นรองชาร์จในระยะ 10 ซม. ชาร์จได้ถึง 7.5W เล่นเกมไป ชาร์จไปได้เลย
OPPO ผลักดัน 2 สิ่งสำคัญ คือ นวัตกรรมและผู้คน โดยผลักดันเทคโนโลยีไปข้างหน้า เพื่อนำประสบการณ์
ที่สุดยอดมาสู่ผู้ใช้แต่ละคน
การผสมผสานของ 3 เทคโนโลยี ที่จะพลิกโฉมโลก
ทีมวิจัยและพัฒนาของ OPPO ลงทุนถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีชั้นแนวหน้า และสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ โดยขยายจากมือถือซึ่งเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว เพื่อรองรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันชาญฉลาดที่จะช่วยเหลือผู้คนที่บ้าน ที่ทำงาน และสถานที่ต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น
โดยได้สร้างระบบ ecosystems ดังนี้
Flash Charging
มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถชาร์จเร็วได้” โดยใช้เทคโนโลยี VOOC flash charge ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2014 โดยมีผู้ใช้กว่า 175 ล้านคนทั่วโลก
โดยมี 3 รูปแบบการชาร์จ 125W Flash Charge
125W flash charger
ชาร์จไฟให้กับมือถือ ที่มีแบตความจุ 4000mAh จาก 0 – 100% ในเวลา 20 นาที
65W AirVOOC wireless charger
ชาร์จไฟให้กับมือถือ ที่มีแบตความจุ 4000mAh จาก 0 – 100% ในเวลา 30 นาที
50W Mini SuperVOOC charger
ชาร์จไฟให้กับมือถือ ที่มีแบตความจุ 4000mAh
ซึ่ง OPPO ได้จดสิทธิบัตรการออกแบบไว้กับผู้นำทั้งด้านยานยนต์ (FAW-Volkswagen), เครื่องชาร์จแบบพกพา (Anker) และภาคการผลิตชิป (NXP Semiconductors)
นอกจากนี้ ได้ขอใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับบริษัทต่างๆ กว่า 40 แห่ง รวมไปถึง CTTL ( China Telecommunication Technology Labs) เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นโดย OPPO หรือพันธมิตร ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และได้รับการรับรองความปลอดภัยสูงสุด
5G
OPPO คิดค้นและค้นคว้าเรื่อง 5G มานาน ซึ่งในปัจจุบัน ได้ยื่นขอสิทธิบัตรมากกว่า 2,500 รายการ เฉพาะด้าน 5G เพียงอย่างเดียว และได้ประกาศสิทธิบัตรมาตรฐาน 5G กว่า 1,000 รายการ ต่อ European Telecommunications Standards Initiative (ETSI) ซึ่งก็ได้ทดสอบสิ่งใหม่ๆ กับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เช่น การทดสอบเสียง 5G standalone voice เมื่อไม่นานมานี้ และการโทรด้วยเสียงผ่านเครือข่ายกับ Ericsson และ Swisscom หรือ การทดสอบ 5G SA network slicing tests กับ Coventry University, Vodafone และ Ericsson
เมื่อต้นปี 2562 ได้เปิดตัวโครงการ 5G Landing Project มุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้งาน 5G ทั่วโลก โดยทำงานร่วมกับผู้ให้บริการมากกว่า 80 รายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น China Telecom, Orange, Vodafone, Deutsche Telekom, China Mobile, Telefonica และ Telcel
The Internet Of Things
เมื่อ 5G กลายเป็นสิ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนมากยิ่งขึ้น จึงนำ 5G ไปใช้ประโยชน์ทั้งภายในบ้านอัจฉริยะ สำนักงาน และพื้นที่สาธารณะ ดังนั้น จึงพัฒนา 5G CPE unit, Omni ที่เปลี่ยนสัญญาณมือถือ 5G ให้เป็น Wi-Fi ความเร็วสูง ที่มีความเสถียร ที่สามารถรองรับอุปกรณ์ IoT ได้ และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำงานร่วมกับพันธมิตร 5G ทดสอบ 5G mmWave กับ Ericsson เพื่อให้แน่ใจว่า Omni สามารถใช้งานได้ดีที่สุด และให้ความเร็ว 5G downlink ที่ 4.06Gbps ได้ (โหลดไฟล์ 2GB เร็วภายใน 2 วินาที)
เมื่อใช้ 5G ร่วมกับ Internet Of Things
ลองนึกภาพ บ้านอัจฉริยะ หรือสำนักงานอัจฉริยะ ที่ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น เพราะความสะดวกสบาย จากการเชื่อมต่อ
อุปกรณ์ทั่วทั้งบ้านและที่ทำงาน ข้อดีของการเชื่อมต่อ 5G คือ มีความเร็วสูงและมีความหน่วงแฝงที่ต่ำมาก เมื่อคุณเสียบซิมการ์ด 5G เข้าไปใน CPE แปลงสัญญาณมือถือ 5G ให้กลายเป็น Wi-Fi ที่เร็ว แรง ความหน่วงต่ำ เสถียร ทำให้ใช้ 5G ได้ทุกมุมของบ้าน และที่ทำงาน และพื้นที่สาธารณะ โดยนอนเล่นเกมบนคลาวด์ โดยไม่ต้องซื้อแผ่นเกม ไปข้างนอกหลายวัน แต่ดันลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็สั่งปิดผ่านมือถือได้ การพบปะ การประชุมออนไลน์ที่เห็นหน้าแบบคมชัด ไหลลื่น ไม่สะดุด แชร์หน้าจอแบบ 4K และถ้าไปดูคอนเสิร์ต ก็ใช้งานกันได้แบบเต็มๆ โดยไม่มีการแย่ง Bandwidth เพียงพอสำหรับให้ทุกคนส่งวีดีโอหากันได้แบบไหลลื่นไม่สะดุด นอกจากนี้ หากคุณทำงาน Work From Home ก็ทำงานได้แบบมีเน็ตเร็วแบบที่สำนักงาน โหลดไฟล์ได้เร็ว
5G CPE
ระบบ O-Reserve 5G Antenna ใช้คลื่นความถี่ Sub-6GHz 5G โดยเลือกเสาสัญญาณ 4 เสาจาก 8 เสาในแต่ละครั้งแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ได้สัญญาณที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกัน O-Motion 5G Antenna จะสามารถหมุนรอบตัวเองได้ 360° ทำให้เสาสัญญาณ 2 ตัวสามารถรับสัญญาณ mmWave ที่เหมาะสมที่สุดได้ด้วยตัวเอง โดยทั้ง 2 ระบบนี้ ทำงานร่วมกันได้ผ่านโมเด็ม Qualcomm’s Snapdragon X55 ที่ใช้ทั้งคลื่นความถี่
5G ที่มีความแรงมากที่สุด และสัญญาณที่เสถียรและเชื่อถือได้มากที่สุด การทำงานร่วมกันกับ Qualcomm, Ericsson และ Keysight Technologies ทำให้เราสามารถออกแบบระบบ 5G ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นหลังจากการรวม 5G และ IoT นั้นแทบไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่ การเล่นเกมบนคลาวด์โดยไม่ต้องใช้ตัวเกม ไปจนถึงการจัดการพลังงานภายในบ้าน การสื่อสารผ่านวิดีโอแบบไร้ขีดจำกัด และการจัดเก็บข้อมูลเสมือนจริง และเนื่องจากความเสถียรของ 5G และค่า Bandwidth ที่เหลือเชื่อ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการเชื่อมต่อที่ล่าช้าหรือเกิดบัฟเฟอร์ ไม่ว่าคุณจะอยู่บนโซฟา ขณะเดินทาง หรือยืนอยู่ในสนามกีฬาร่วมกับผู้คนนับพัน
OPPO ทุ่มเทให้กับการสำรวจเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น เช่น AI, IoT และ Big Data แต่ในขณะเดียวกัน
ก็กำลังทุ่มเททรัพยากร ผู้คน และเวลาเพิ่มเติม สู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลัก การพัฒนาด้านบริการให้กับ
ผู้ใช้งาน และการพัฒนาระบบอุปกรณ์ ecosystem อัจฉริยะหลากหลายอย่าง จุดมุ่งหมายคือ การสร้าง พัฒนา และปรับแต่งเทคโนโลยีที่จะทำให้ชีวิตของลูกค้าง่ายขึ้นในทุกๆ วัน