จากข่าวเก่าที่แอปเปิลออกมายอมรับว่า iOS 10.2.1 เป็นต้นไป ได้จงใจทำให้ไอโฟนทำงานช้าลงโดยการลดการทำงานและ speed ของ CPU เพื่อป้องกันเครื่องดับเอง ต่อมามีผู้ใช้จำนวนมากที่ทราบข่าวนี้ มีความรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากแอปเปิลไม่เคยแจ้งปัญหาเรื่องนี้อย่างชัดเจนกับผู้ใช้ และมีเคสที่ฟ้องร้องแอปเปิลที่ต่างประเทศมาแล้ว
ล่าสุด Tim Cook ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ ABC News แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมกับขอโทษผู้ใช้อย่างที่สุด
“เมื่อประมาณปีที่แล้ว เราได้ออก iOS เวอร์ชันใหม่ที่แก้ไขปัญหาเครื่องดับอย่างไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมและไม่สามารถรองรับการจ่ายไฟได้ชั่วขณะ
หากคุณลองคิดดูว่า ถ้าคุณต้องใช้ไอโฟนเพื่อโทรหาใครแบบฉุกเฉิน หรือกำลังโทรศัพท์เรื่องที่สำคัญมากๆ หรือกำลังรอข้อความสำคัญบางอย่าง หรือกำลังจะถ่ายรูป วิดีโอช่วงที่กำลังสำคัญที่สุด นั่นคือประสบการณ์ของผู้ใช้ที่สำคัญมากๆ การพิจารณาของเราดูจากประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นสำคัญและนั่นคือการตัดสินใจของเราที่จะเลือกให้ประสิทธิภาพของไอโฟนลดลง เพื่อป้องกันเครื่องดับอย่างไม่ได้ตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ตอนที่ออกอัพเดตครั้งนั้นเราเคยแจ้งผู้ใช้เรื่องปัญหา แต่เหมือนจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก หรืออาจจะเป็นเพราะเรา (แอปเปิล) สื่อสารได้ไม่ชัดเจนพอ และต้องขออภัยผู้ใช้ทุกคนอย่างสุดซึ้งโดยเฉพาะผู้ใช้ที่คิดว่า เราลดประสิทธิภาพเพื่อจงใจให้ซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งจริงๆ แล้วที่เราทำแบบนี้เพราะมาจากประสบการณ์ผู้ใช้ และผู้ใช้คือศูนย์กลางของเราทั้งหมด” Tim Cook กล่าว
หลังจากนี้ไป แอปเปิลก็จะเพิ่มฟีเจอร์ในการปิด-เปิดของตัวตรวจจับแบตเตอรี่และการจัดการพลังงานใน iOS เวอร์ชันอัพเดตในอนาคต (อาจจะ iOS 11.3 เป็นต้นไปก็ได้) ซึ่ง Tim Cook เสริมอีกว่า
“ตัว iOS สำหรับนักพัฒนาที่มีฟีเจอร์นี้ จะมาในเดือนหน้า โดยผู้ใช้สามารถเห็นสถานะสุขภาพแบตเตอรี่ได้อย่างชัดเจนและโปร่งใสอย่างที่สุด และเมื่อแบตเตอรี่เสื่อม ก็จะมีแจ้งบอกว่า iOS จะลดประสิทธิภาพเครื่องลงเพื่อป้องกันจากเครื่องดับ และถ้าคุณไม่ต้องการให้มันลดประสิทธิภาพ คุณก็ปิดฟีเจอร์นี้ได้ แต่พวกเรา (แอปเปิล) ไม่ต้องการแนะนำให้คุณปิดเท่าไหร่ เพราะเราคิดว่าไอโฟนนั้นสำคัญสำหรับผู้ใช้ และคุณก็ไม่มีทางรู้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสำคัญ มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ก็คือ เพื่อบริการผู้ใช้ทุกท่าน”
เอาเป็นว่า ตอนนี้รอดู iOS เวอร์ชันหน้าๆ เนอะ (ไม่ใช่ iOS 11.2.5 ที่กำลังจะออกแน่นอน) ว่าจะเป็นอย่างไร อิอิ เมื่อถึงตอนนั้นก็อยู่ที่ผู้ใช้จะเลือกละ ว่าจะเปิดปิดฟีเจอร์นี้หรือไม่